รีวิวหนัง "Babylon" จัดจ้าน 3 ชั่วโมงเน้น ๆ กับวงการบันเทิงฮอลลิวูดยุคบุกเบิก
มาถึงคิวของหนังที่อาจจะบอกได้ว่า เป็นหนังที่เสียงค่อนข้างแตกอยู่ไม่น้อย ในกลุ่มหวังรางวัลในปีนี้ นี่คือ “Babylon” ผลงานล่าสุดของผู้กำกับหนุ่ม “เดเมียน ชาเซลล์” (จาก La La Land) ที่มีจุดเด่นตรง ที่เป็นหนังพีเรียดย้อนยุค กลับไปเมื่อร้อยปีก่อน ซ้ำยังอัดแน่นด้วยเนื้องาน ที่เต็มตาถึง 3 ชั่วโมง เทียบเท่ากับหนัง Avatar ภาคล่าสุดเลยทีเดียว แล้วตัวหนังมันมีข้อเด่นข้อด้อยตรงกันบ้าง และก็ควรค่าแก่การนั่งแช่ ในโรงหนังนานขนาดนี้หรือไม่?
Babylon เป็นหนังพาย้อนกลับไปลอสแองเจลิส ในทศวรรษ 1920 เรื่องราวเกี่ยวกับความทะเยอทะยานเกินปกติ และพฤติกรรมสุดเหวี่ยงเกินพิกัด และถ่ายทอดเรื่องราวยุครุ่งเรือง รวมทั้งการล่มสลายของหลากหลายตัวละคร ในตอนยุคที่ความเสื่อมโทรม แล้วก็ความเลวทรามช่วงฮอลลิวูดยุคบุกเบิกเริ่มต้น ที่เต็มไปด้วยแสงสีอันน่าหลงใหล แล้วก็ภาพมายาที่ลวงหลอก
Babylon นี่ถือได้ว่าเป็นชิ้นงานภูมิใจ นำเสนอของเดเมียน ชาเซลล์
เขาเลยแหละ ด้วยเหตุว่าเขาพยายามปลุกปั้นอยู่หลายปี และก็ยังเป็นโปรเจกต์ หนังที่หลาย ๆ ค่ายต่างจับจ้องแย่งเอามาเป็นเจ้าของด้วย แน่ ๆ ว่าเขายังคงรับหน้าที่ดูแลงานกำกับ รวมทั้งเขียนบทหนังด้วยตัวเอง ซึ่ง Babylonก็ยังเต็มไปด้วยลายเซ็นชัด ๆ ในลีลาการทำหนังรูปแบบของเขา งานภาพ งานเสียง และก็เซ็ตติ้งต่าง ๆ ทำออกมาได้เป็นมืออาชีพ และก็ระรัวใส่ผู้ชมเหมือนกับดีดดิ้นอยู่ ในปาร์ตี้ตลอดเวลา
ความยาวของหนังที่มีถึง 3 ชั่วโมง 9 นาที ของ Babylonนั้น มิได้เป็นอุปสรรคใด ๆเลย ต้องขอบคุณที่หนังมีจังหวะ การเล่าเรื่องที่บันเทิงและสนุกไปได้ด้วยดี มาเอื้อนกล่าวถึงจุดที่น่าชื่นชมกันก่อน งานออกแบบโปรดักชั่นเรื่องนี้ ต้องยกนิ้วให้ เทียบเคียงสเกลก็แทบจะเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ระดับทุนร้อยล้านขึ้นไปได้เลย
ด้วยความที่หนังมีรายละเอียดต่าง ๆ ในหนังเพียบ งานโปรดักชั่นส่วนมากที่จะต้องเก็บรายละเอียดของยุคสมัยในช่วงยุคปี 1920s พร้อมด้วยไล่ไทม์ไลน์ไปตามยุค การออกแบบฉากและศิลป์ต่าง ๆ ของ Babylonทำออกมาได้ค่อนข้างจะน่าพอใจ สิ่งที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ผู้ชมละสายตา ไปกับแวดล้อมในหนังมิได้เลย ถึงแม้ว่าจังหวะลีลาของหนังจะฉับไว กระทั่งบางทีแทบมองไม่ทันบ้างก็ตาม แต่องค์ประกอบส่วนนี้ถือว่าโดดเด่นดี
อีกสิ่งที่จะต้องตบมือให้ดัง ๆ ก็คืองานดนตรีประกอบภาพยนตร์
ที่โดยเจ้าเดิม “จัสสิต เฮอร์วิตซ์” ที่เคยทำเพลงให้กับ La La Land มาบรรเลงและจุดประกายไฟอันร้อนแรงให้กับซาวน์หนังเรื่องนี้ ที่หลัง ๆ ยังคงใส่ท่วงทำนอง เครื่องเป่าสไตล์แจ๊สเอาไว้ ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย ถ้าเกิดเป็นแฟนนักประพันธ์ท่านนี้
ก็จะสัมผัสได้ถึงลายเซ็น ในชิ้นงานของเขาได้ดี และก็เพลงประกอบต่าง ๆ ก็ดูส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี ทั้งสุข ทั้งยังเศร้า ทั้งปาร์ตี้ ทั้งโศกนากฏกรรม ที่จัดว่ามอบซาวน์รสเลิศ ที่แสนจัดจ้าน
ในเวลาที่ส่วนประกอบเสื้อผ้าหน้าผม และการแต่งหน้าของ Babylonเรื่องนี้ ที่นับว่าก็ทำออกมาได้ออกจะดี เพียงแต่ว่ายังมิได้โดดเด่น เป็นที่สุดมากนัก
เพราะว่าความละเอียดในเรื่องชุดและการออกแบบให้กับตัวละคนในหนังนั้น ยังแอบสัมผัสได้ถึงความร่วมสมัยอยู่เบา ๆ มิได้เน้นเก็บความเฉพาะของยุค ตามเส้นเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ว่ายังโชคดีที่จุดนี้ ถูกมองข้ามไป เนื่องจากงานโปรดักชั่นดีไซน์ ที่ตื่นตารวมทั้งตรึงใจได้ดี
ส่วนบทหนังและก็การเล่าเรื่องของ Babylon อาจจะต้องยอมรับตรง ๆ ว่ายังไม่ค่อยน่าประทับใจถึงที่สุดนัก อาจจะด้วยเหตุว่าเป็นว่ารายละเอียด ที่ถูกใส่มาเยอะ และแน่นเกินไป แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงเจตนารมณ์ และวัตถุประสงค์ของ เดเมียน ชาเซลล์ ที่อยากได้คาระความคลาสสิก และก็ต้นตำหรับ ของจุดกำเนิดแวดวงภาพยนตร์ฮอลลิวูด สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารออกมานั้น จัดว่าชัดเจน เพียงแต่ว่าเนื้อหา ที่เอามาละเลงในหนังเรื่องนี้ ออกจะแน่นไปเสียหน่อย แม้ว่าจะยังรู้สึกชอบ แต่ก็ไม่รู้ว่า จะโฟกัสที่ไหนก่อนดี
ความจริงค่อนข้างรู้สึกขนลุก ไปกับบทสรุปในช่วงท้ายของหนัง
ที่เป็นการสรรเสริญความเป็น Cinematic ที่ตกทอดกันมานับร้อยปี ของแวดวงนี้ เพียงก็แอบทราบเหมือนว่าผู้สร้างหาจุดลง ที่งดงามได้ไม่พบ ฉากสรุปท้ายเรื่องของหนังเรื่องนี้ จึงมีทั้งอารมณ์ตื้นตัน และก็มึนงงไปพร้อมเพียงกัน เนื่องจากไม่คิดว่า จะเลือกทางลงให้กับเช่นนี้ ทั้งที่คงจะมีสักทาง ที่จบได้คมคาย และสวยงามมากยิ่งกว่านี้
ทางด้านการแสดงของทีมนักแสดง ก็ถือว่าพวกเขาทำออกมาได้ดี ตามมาตรฐานเลย “แบรด พิตต์” ที่พระเอกที่มาช่วยประคองทั้งเรื่องเอาไว้ ได้ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา “มาร์โกต์ ร็อบบี้” ใส่เสน่ห์ไปเต็ม ๆกับบทที่เธอได้รับ และยังเล่นไปสุดทางกับตัวละครนี้
แม้ว่าอาจจะดูเป็นบทซ้ำ ๆ ไปหน่อย ในตอนที่ “ดิเอโก คัลวา” เป็นหนุ่มหล่อลาตินหน้าใหม่ ที่ถือว่าโปรยเสน่ห์ และเข้ากับบท ที่ได้รับอย่างดี ถึงการแสดงของเขายังจะต้องลับคมไปอีก
เอาเป็นว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น ก็แอบรู้สึกก้ำ ๆ กึ้ง ๆ กับหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่อาจเอนเอียง ไปในทิศทางที่ค่อนข้างจะชอบมากยิ่งกว่า ด้วยส่วนประกอบของงานสร้างที่จัดจ้าน และบันเทิงได้ลึกซึ้ง
ถึงแม้ยังมีบางส่วนประกอบ ที่ยังไม่ประทับใจถึงที่สุด และมีความคิดว่าคงจะทำได้ดีกว่านี้ได้อยู่ก็ตาม แต่ว่านี่ก็คือหนัง ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่จัดจ้านตลอด 3 ชั่วโมง ที่อัดแน่น ด้วยความเนื้อใน ที่เต็มน้ำเต็มเนื้อ บางครั้งก็แทบจะล้นทะลักออกมา
Babylon บางทีก็อาจจะไม่ใช่หนังที่ทำออกมา ได้เหมาะกับผู้ชมทุกกลุ่ม ด้วยความยาวมาก ๆ ที่ไม่ใช่ผู้ชมหนังยุคนี้ จะหาเปิดดูกันแน่นอน แต่หนังก็โดดเด่นดีที่งานสร้าง ยิ่งถ้าหากว่าเป็นผู้ที่มีความสนใจ และคลุกคลีอยู่กับวงการสายหนังด้วยแรง หนังเรื่องนี้ คือการสดุดีวงการภาพยนตร์รสเลิศเรื่องหนึ่ง ย้อนกลับไปถวิลยุคเก่า ๆ ที่แทบลืมกันไปหมดแล้ว ถึงแม้การร้อยเรียงจะยังไม่คมคาย ถึงที่สุดนัก แต่ว่ารวม ๆ ก็จัดว่าจัดจ้านใช้ได้ ด้วยความดีความชอบจากงานสร้างล้วน ๆ เลย